วิตามินดีมีอะไรบ้าง? แล้วแต่ละชนิดต่างกันอย่างไร?
วิตามินดีเป็นฮอร์โมนที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ได้เองที่ผิวหนังเมื่อได้รับรังสี Ultraviolet B (UVB) ในช่วงยะเวลาประมาณ 9.00-15.00 น. ขณะที่การสังเคราะห์วิตามินดีตามกลไกของร่างกายต่ำร่วมกับการบริโภควิตามินดีไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ย่อมส่งผลให้ร่างกายเกิดภาวะพร่องหรือขาดวิตามินดีได้ การขาดวิตามินดีส่งผลโดยตรง เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคกระดูกดังนี้คือ หากขาดในระดับรุนแรงโดยเฉพาะในวัยแรกเกิดหรือวัยเด็กจะก่อให้เกิดโรคกระดูกอ่อนในเด็ก (rickets) ส่วนผู้ใหญ่ก่อให้เกิดโรคกระดูกน่วม (osteomalacia) แต่หากขาดวิตามินดีในระดับต่ำอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุนในผู้ใหญ่ได้
วิตามินดีแยกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ วิตามินดี2 (Ergocalciferol) หรือ วิตามินดี3 (Cholecalciferol) ซึ่งเป็น inactive form ของวิตามินดี วิตามินดีทั้งสองได้ถูกแบ่งแยกตามแหล่งที่มา โดย วิตามินดี2 มีต้นกำเนิดมาจากพืช เช่น เห็ดหอม หรือได้รับมาทางวิตามินเสริม ส่วนวิตามินดี3 มาจากการการสังเคราะห์ผ่านผิวหนังเมื่อโดนแสงแดดที่มี UVB หรือจากอาหารที่มาจากสัตว์ เช่น ปลาที่มีไขมันสูง อาทิ ปลาแซลมอน ปลาซาดีน ปลาแมคเคอเรล ปลาทูน่า หรือ น้ำมันตับปลา เป็นต้น
ในทางการแพทย์สามารถเลือกใช้ วิตามินดี2 หรือ วิตามินดี3 ชนิดใดชนิดหนึ่งก็ได้เนื่องจากยังไม่ได้มีข้อสรุปที่แน่ชัดว่า วิตามินดีชนิดใดที่สามารถเพิ่มระดับ 25(OH)D ในเลือดได้มากกว่ากันอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม meta-analysis ล่าสุดหลักฐานทางวิชาการส่วนใหญ่ระบุไว้ว่า วิตามินดี3 เพิ่มระดับ 25(OH)D ในเลือดได้มากกว่า วิตามินดี2 ในขนาดที่เท่ากัน
เรียบเรียงโดย Trivita Health โดยดัดแปลงมาจากบาทความของสมาคมต่อมไร้ท่อแห่งประเทศไทย (http://www.thaiendocrine.org)